
We Are Rewind แบรนด์จากฝรั่งเศสได้นำเสนอเครื่องเล่นคาสเซ็ตที่ไม่ใช่แค่ของเก่า แต่เป็นการฟื้นคืนชีพเทคโนโลยี analog ด้วยดีไซน์วินเทจผสานฟีเจอร์ทันสมัย เช่น Bluetooth และแบตเตอรี่ชาร์จได้ วันนี้ผมจะมาเขียนถึงให้ได้อ่านกัน
ผมใช้เวลาพรีเครื่องนี้เกือบเดือนกว่าของจะมาถึง สำหรับใครที่สนใจตอนนี้ในไทยมีของวางจำหน่ายแบบพร้อมซื้อเรียบร้อยแล้ว ราคาอยู่ทีประมาณ 8,xxx บาท มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่สี Black & Yellow , Orange , Blue , Grey และสี Rose อย่างของผมในรีวิวนี้ก็คือสีส้ม และถ้าถามว่าสีไหนสวยสุด ส่วนตัวมองว่าสวยทุกสี และนอกจากการวางขายเฉพาะตัวเครื่องเล่นแล้ว ยังมีแบบชุดเซ็ท We Are Rewind Premium Set ที่จะมาพร้อม Cassette Player + Retro Wireless Headphone อันนี้คุ้มอยู่นะ
ส่วนใครที่อยากรู้ว่าซื้อที่ไหนได้บ้าง ผมแนะนำลองดูที่แอพส้มนะครับมีอยู่ 1-2 ร้าน ส่วนผมสั่งจองผ่านร้าน Soundproofbros และตอนนี้มีของพร้อมจบโดยไม่ต้องจอง (ร้านไม่ได้สปอนผมนะ ผมเพียงอยากเขียนถึง)
สเป็คที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพเสียง
- การเล่นเทป : รองรับเทป Type I (Normal), Type II (CrO2), Type III (FeCr), และ Type IV (Metal) ซึ่งครอบคลุมเทปทุกประเภทในยุคคาสเซ็ต.
- เอาต์พุตเสียง : ช่องหูฟัง 3.5mm: รองรับการฟังแบบมีสายด้วยสัญญาณสเตอรีโอ. Bluetooth 5.0: ส่งสัญญาณไร้สายไปยังหูฟังหรือลำโพงภายนอก (คุณภาพขึ้นกับอุปกรณ์รับ เช่น codec SBC หรือ AAC).
- กลไกการเล่น : ใช้มอเตอร์และ tape path ออกแบบใหม่ ไม่มี Dolby Noise Reduction (NR) ซึ่งส่งผลต่อ noise ในเทปเก่า.
- การบันทึก : รองรับการอัดเสียงลงเทปผ่านช่องบันทึก (recording input) แต่คุณภาพขึ้นกับไมโครโฟนหรือแหล่งเสียง.
- ไม่มีข้อมูลสเป็คกำลังขับ (wattage) : ไม่ระบุในเว็บหรือรีวิว แต่เหมาะกับหูฟังหรือลำโพงพกพามากกว่าระบบเครื่องเสียงขนาดใหญ่.
แพ็คเกจที่ได้รับมาดูเรียบง่ายแต่ก็ดูดี ด้านข้างจะมีสถานะบ่งบอกสีที่เราเลือกไว้ เปิดกล่องออกมาด้านในเราจะพบกับเครื่องเล่น We Are Rewind Cassette Player , คู่มือเล็กๆ , สาย Usb และดินสอ อ้า คงจะเข้าใจนะว่าทำใมถึงให้ดินสอมา คนฟังเทปน่าจะนึกภาพออก
ผมเลือกรุ่นที่เป็นสีส้มมาใช้งาน บอกได้ว่าสีสวย สดใส ออกแบบเรียบง่ายแต่ดูดีมาก รุ่นสีส้มนี้จะเป็นสีส้มทั้งเครื่อง แต่สีไม่ได้ออกส้มจ๋าขนาดนั้นผมว่ามันดูเข้มกึ่งน้ำตาลอ่อนๆเหมือนกัน ด้านหน้าเครื่องใกล้ๆกับฝาหน้าจะเห็นคำว่า We Are Rewind
การเปิดใส่ตลับเทปทำได้ง่ายๆด้วยการเปิดฝาหน้าออกจากทางด้านข้างซ้ายมือของเครื่อง อย่าพยายามงัดจากส่วนบนเพราะจะเปิดได้ยาก ที่ด้านข้างจะมีร่องเล็กๆให้เรางัดจะทำให้เปิดฝาหน้าง่ายกว่า ปุ่มหลักๆในส่วนด้านบนของเครื่องก็จะเหมือนเครื่องเล่นเทปทั่วไป จะมีเพิ่มมาก็ในส่วนของปุ่มเชื่อมต่อ Bluetooth สถานะไฟที่บ่งบอกแบตและการใช้งาน Bluetooth วกกลับมาดูในส่วนด้านข้างของเครื่องเล่น จะมีปุ่มเพิ่มลดเสียง ช่องเสียบหูฟัง ช่องอัด และช่อง usb เอาไว้ชาร์จแบต
อาจจะดูว่าราคาสูง แต่การวางตำแหน่งของแบรนด์ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลนั้น แต่หลักๆเราอย่าลืมว่าเครื่องเล่นเทปรุ่นนี้ใช้ ตัวเครื่องอะลูมิเนียมทั้งชิ้น (ไม่มีพลาสติก) ซึ่งแข็งแรง ทนทาน และให้ความรู้สึกพรีเมียมมาก ถึงแม้จะมีใส่ลูกเล่นอย่างการเชื่อมต่อไร้สายกับหูฟังหรือลำโพง Bluetooth แต่การออกแบบยังได้กลิ่นไอ Retro อยู่ และที่สำคัญหากใครมีเครื่องอยู่ลองฟังเสียงดู Fast forward/rewind เงียบมาก และทางแบรนด์ก็เคลมว่าไม่มีปัญหากินเทปด้วย
ในเครื่องรุ่นใหม่การใช้งานแบตมักจะมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในตัว เราสามารถชาร์จผ่าน USB-C เล่นได้นาน 10-12 ชั่วโมงต่อการชาร์ 1 ครั้ง แน่นอนว่าใช้งานจริงอาจจะไม่ได้เป๊ะแบบในสเป็คแต่ต้องยอมรับว่านานอยู่ อ้อลืมบอกไปว่ารุ่นนี้สามารถอัดเสียงลงเทปได้ เหมาะสำหรับทำ mixtape หรือบันทึกเสียงส่วนตัว
ถ้าถามเรื่องเสียงเพลงที่ได้ยิน ผมชอบนะ โทนเสียงที่ได้มันตรงจริตผม (เสียงแหลมนำเบสเล็กน้อย)โทนเสียงที่เหมาะสำหรับ casual listening เน้นความรู้สึกย้อนยุค (nostalgia) มากกว่าการเป็นเครื่องเล่นสำหรับ audiophile แต่จากรีวิวคนส่วนใหญ่ก็ชื่นชมว่ามันทำได้ดี การใส่ลูกเล่นอย่าง Bluetooth ทำให้เรามีอิสระต่อการเลือกหูฟังได้หลากหลายมากขึ้นไปในตัว
สรุปแล้วเป็นอีกเครื่องเล่น Cassette Tape ที่น่าสนใจ การออกแบบ วัสดุ และลูกเล่นที่ใส่เข้ามาทำให้รุ่นนี้มีคาแรคเตอร์ที่ไม่เหมือนใคร ส่วนข้อเสียอย่างปัญหา wow/flutter (เสียงสั่น) และ hissing noise (เสียงพื้นหลัง) โดยเฉพาะเมื่อใช้เทปเก่าหรือคุณภาพต่ำที่มีเจอบ้าง หรือราคาที่สูงและขนาด น้ำหนักที่ถือว่าใหญ่ไม่เหมาะกับการใส่กระเป๋ากางเกง ตรงนี้คงจะขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ส่วนผมไม่ติดใจอะไร ผมไม่พกใส่กระเป๋ากางเกงอยู่แล้ว